กัน - นิลกัณฐ์ คีตะสาทร
KUN - Ninlakan Kitasathorn | |
---|---|
ชื่อ-นามสกุล |
นิลกัณฐ์ คีตะสาทร (Ninlakan Kitasathorn) |
ชื่อเล่น |
กัน (Kun) |
วันเกิด (อายุ นับถึงปี 2559) |
27 สิงหาคม 2541 (17 ปี) |
เพศ (รสนิยมทางเพศ) |
ชาย (ไบเซ็กชัวล์) |
สถานะ |
นักเรียนรุ่นที่ 6 (2556-2558) |
แผนการเรียน |
ศิลป์-คำนวณ |
ส่วนสูง-น้ำหนัก |
165 เซนติเมตร / 60 กิโลกรัม |
ศาสนา |
พุทธ |
กรุ๊ปเลือด |
n/a |
ชมรม |
ดนตรีสากล |
กัน - นิลกัณฐ์ คีตะสาทร
ข้อมูลทั่วไป
DB1
1. ชื่อจริง / นามสกุล / (ชื่อเล่น)
นายนิลกัณฐ์ คีตะสาทร (นิน-ละ-กัน คี-ตะ-สา-ทอน) (กัน) Ninlakan Kitasathorn (Kun)
2. อายุ 14 ปี (จะ 15 ปี หลังเปิดเทอม)
3. วัน เดือน ปี เกิด 27 สิงหาคม 2541 (วันพฤหัสบดี)
4. เพศ ชาย รสนิยมทางเพศ ได้ทั้ง 2 เพศ แต่จะเอนไปทางผู้หญิงมากกว่า
5. ความสูง 165 ซม. น้ำหนัก 60 กก.
6. รูปพรรณสัณฐาน
- ตาสองชั้น สีน้ำตาล ผมสีดำ
- กันสายตาสั้น 100 ทั้ง 2 ข้าง แต่ปกติจะใส่แว่นตอนอ่านหนังสือ อ่านโน้ต ใช้คอมพิวเตอร์ เป็นแว่นกรอบสี่เหลี่ยม สีดำ
- รูปร่างสมส่วน มีกล้ามเนื้อตามลักษณะของวัยรุ่นชายทั่วไป
- มีแผลเป็น 8 ที่ (ผม 2 ที่ แก้ม 2 ที่ คอ 1 ที่ แขนซ้าย 3 ที่ ขาซ้าย 3 ที่) เรื่องย้ายตำแหน่งแผล ขออนุญาตผ.อ. เรียบร้อยแล้วครับ
- กีตาร์ที่ใช้อยู่ YAMAHA F-310 เอามาโรงเรียนบ้างเป็นบางวัน
credit
กระเป๋าใส่กีตาร์ที่ใช้อยู่
credit
สมุดสเก็ตที่ใช้อยู่ (ปกจะเป็นสีดำ) พกติดตัวตลอดเวลา
credit
7. ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมต่างๆของตัวละคร
ไม่กล้าที่จะพูด/สื่อสารด้วยการเขียน/หน้าตาย/เป็นผู้ตาม/จริงจัง/รักดนตรี
ไม่กล้าที่จะพูด
- กันเป็นคนพูดเสียงเบา รู้สึกลำบากใจ ไม่สบายใจเวลาจะพูดอะไร เพราะคิดว่าตัวเองมีความเห็นไม่ตรงกับคนอื่น
- แต่ก่อนเวลาเสนอความคิดเห็นอะไรก็มักจะไม่มีใครได้ยิน ถึงได้ยินส่วนใหญ่จะถูกมองข้ามหรือทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เพราะความเห็นหรือความชอบไม่ตรงกัน ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร เพราะไม่กล้าพูด
- กันไม่ค่อยได้สื่อสารกับเพื่อนคนอื่นเรื่องงานอดิเรก เพราะคนอื่นคุยกันแต่เรื่องเกม ไม่ค่อยมีคนชอบการเล่นดนตรีเหมือนตัวเอง ก็เลยไม่กล้าสื่อสารด้วย
สื่อสารด้วยการเขียน
- ตอนม.ต้นเจอเพื่อนบางคนที่ออกแนวนักเลงไม่เห็นด้วยกับความคิดกัน ด่าว่าความคิดไร้สาระเข้าหลายๆครั้ง จึงเริ่มกลัวและไม่กล้าที่จะพูด กันจึงใช้การเขียนแทน เพราะรู้สึกมีความกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น (อ่านรายละเอียดที่ข้อ 22 ครับ)
- กันใช้การเขียนแทนการพูด โดยก่อนเขียนจะคิดก่อนว่าถ้าเขียนตอบไปแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรือไม่
- กันจะมีอาการไม่กล้าสื่อสารกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน เพราะกลัวจะสื่อสารอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
- กันสื่อสารค่อนข้างน้อย เนื่องจากเขียนช้าจึงไม่ทันคนอื่นและกลัวทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ(รอนาน) เลยเขียนน้อยลงแล้วได้แต่คิดในใจแทน
-ปกติกันจะไม่ค่อยเป็นฝ่ายเริ่มสื่อสารก่อน ถ้าไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร ถ้าต้องสื่อสารก็จะเดินเข้าไปสะกิดอีกฝ่าย แต่ถ้าอีกฝ่ายเริ่มคุยก่อน กันก็จะพยายามสื่อสารตอบ
- เวลาเขียนตอบจะพยายามเขียนให้สั้นแต่เข้าใจความหมาย เช่น ถามว่าไปไหน ก็จะเขียนตอบแค่สถานที่ หากเป็นคำถามที่ตอบใช่ไม่ใช่ จะใช้การพยักหน้าและส่ายหน้า
- การเขียนเพื่อสื่อสาร กันเอามาจากทวิตเตอร์ (เวลาคุยในทวิตเตอร์ก็พูดน้อยเหมือนโลกจริง)
- หากต้องพูดคุยระหว่างที่ไม่มีสมุดหรือปากกาก็จะใช้การพูด แต่จะมีอาการสั่นเล็กน้อย พูดเสียงเบา หากเป็นประโยคยาว ๆ จะพูดติดขัดเล็กน้อย เช่น "เอางานมาส่งครับ” เป็น “เอา...งานมาส่งครับ” แต่ก็จะพยายามพูดให้สั้นแต่เข้าใจความหมาย หรือก็คือพูดเท่าที่จำเป็น
- เวลาไหว้หรือทักทาย จะแค่แสดงท่าทางให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นการทักทาย เช่น พนมมือ, โค้งตัว หรือพยักหน้า จะไม่พูดคำทักทาย
- ถ้าคุยกับครอบครัวจะไม่ใช้การเขียน แต่จะพูดปกติ
- ถ้าสนิทกันจะใช้การพูดแทน อาจมีการขอฟอลโลว์ในทวิตเตอร์ด้วย โดยคนที่กันจะสนิทด้วยต้องเป็นคนแบบในข้อ 17
หน้าตาย
- กันเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกให้คนอื่นรู้ผ่านทางสีหน้า นอกจากบางครั้งจะมีหลุดออกมาบ้าง เช่น เวลาฟังดนตรีจะยิ้มหน่อย ๆ
- แต่ส่วนใหญ่คนจะรู้ความรู้สึกจากการกระทำและคำพูด ถ้ากันอารมณ์ไม่ดีจะสื่อสารน้อยลงมาก จนถึงขั้นไม่สื่อสารเลย
เป็นผู้ตาม
- กันเป็นคนไม่คิดอะไรมาก อะไรก็ได้ ก็เลยทำตามคนอื่นมากกว่าเป็นผู้นำ ไม่ว่าตนจะได้ประโยชน์ด้วยหรือไม่ก็ตาม
- อีกเหตุผลที่เป็นผู้ตามเพราะสื่อสารความเห็นของตัวเองแล้วคนอื่นไม่เห็นหรือไม่สนใจ(เพราะไม่ได้ยิน) เช่น เวลาทำงานกลุ่มแล้วแบ่งงานกันแต่ไม่มีใครเห็นที่กันเขียน กันก็จะไม่แย้งแล้วก็ทำงานตามที่แบ่งแต่โดยดี
- แต่กันก็ไม่ได้ทำตามทุกอย่างที่คนอื่นบอก ถ้าสิ่งที่ให้ทำไม่มีเหตุผลก็จะไม่ทำตาม เช่น ให้ไปตบหัวเพื่อน ก็จะไม่ไปตบ
จริงจัง
- กันคิดว่าสิ่งที่คนอื่นขอให้ทำ แปลว่าเขาเชื่อมั่นว่ากันทำได้ กันจึงตั้งใจทำอย่างเต็มที่
- ถึงจะไม่ชอบ แต่กันก็จะทำ เช่น ให้ทำเวรคนเดียวเพราะคนอื่นติดธุระ
- กันจะจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองชอบมาก เช่น การแกะโน้ตกีตาร์
รักดนตรี
- กันฝึกเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็กๆพร้อมกับพี่น้อง ทำให้กันเริ่มชอบและหลงรักในเสียงดนตรี
- กันฝึกเล่นกีตาร์ทุกวันตอนเย็น และในเวลาว่าง
- ความจริงกันสนใจในการร้องเพลงด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่กล้าร้องให้คนอื่นฟัง เขาจึงหันมาเล่นกีตาร์เพียงอย่างเดียว
- กันอ่านโน้ตบรรทัด 5 เส้นเป็น แต่ปกติเวลาเล่นจะดูคอร์ดเอา
8. การใช้คำพูด
สรรพนาม
คุยกับพี่
แทนตัวเอง – ผม, กัน
เรียกพี่ – พี่, พี่เน็ต
ลงท้ายด้วยครับ
คุยกับน้อง
แทนตัวเอง – พี่
เรียกน้อง – กานต์
คุยกับเพื่อน/คนอายุใกล้ๆกัน
แทนตัวเอง – ผม
เรียกเพื่อน – นาย/เธอ, ชื่อเล่นเพื่อน(ถ้ารู้จัก)
ถ้าไม่รู้จัก/ไม่สนิท จะลงท้ายด้วยครับ
คุยกับรุ่นพี่
แทนตัวเอง – ผม
เรียกรุ่นพี่ – พี่(ตามด้วยชื่อเล่นรุ่นพี่) ถ้ายังไม่รู้จักชื่อจะเรียกพี่เฉย ๆ
ลงท้ายด้วยครับ
คุยกับรุ่นน้อง
แทนตัวเอง – พี่
เรียกรุ่นน้อง – ชื่อเล่นรุ่นน้อง ถ้ายังไม่รู้จักชื่อจะเรียกน้องเฉย ๆ
คุยกับอาจารย์
แทนตัวเอง – ผม
เรียกอาจารย์ – อาจารย์/จารย์(ตามด้วยชื่อจริงอาจารย์) บางครั้งจะไม่เรียกชื่ออาจารย์
ลงท้ายด้วยครับ
คุยกับแม่ค้า ภารโรง ฯลฯ
แทนตัวเอง – ผม
เรียกแม่ค้า ภารโรง ฯลฯ – พี่, ป้า, ลุง ฯลฯ ตามอายุของอีกฝ่าย ถ้าสนิทจะเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วย
ลงท้ายด้วยครับ
จะสื่อสารอย่างสุภาพกับอาจารย์และคนที่อายุมากกว่าและน้อยกว่า(นอกจากกับน้องตัวเอง)
กับคนที่อายุเท่าๆกันจะสื่อสารแบบปกติ
ถ้าสนิทกันจะใช้การพูดแทน อาจมีการขอฟอลโลว์ในทวิตเตอร์ด้วย โดยคนที่กันจะสนิทด้วยต้องเป็นคนแบบในข้อ 17
ตัวอย่างการสื่อสาร
คุยกับน้อง “ทำอะไรอยู่น่ะ”
คุยกับเพื่อน “นายมีกรรไกรให้ยืมมั้ย”
คุยกับอาจารย์ “อาจารย์(ชื่ออาจารย์)ครับ ผมเอางานมาส่งครับ”
ถ้าไม่จำเป็นต้องเขียนเพื่อสื่อสาร ก็จะไม่เขียน
เช่น มาถ่ายเอกสาร กันก็จะยื่นกระดาษที่ต้องการจะถ่ายเอกสาร แล้วบอกว่าเอากี่ชุดด้วยการชูนิ้ว
- หากไม่พอใจหรืออารมณ์ไม่ดี จะสื่อสารน้อยลงมาก จนถึงขั้นไม่สื่อสารเลย
- ถ้าโกรธหรือไม่พอใจมาก ๆ กันจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินหนีโดยไม่พูดหรือสื่อสารอะไรเลย
- ถ้าเห็นคนตกอยู่ในอันตราย เช่น กำลังจะโดนรถชน กันจะตะโกนเรียกให้หลบรถ ถ้ากันอยู่ใกล้คนที่จะโดนชนจะรีบดึงตัวให้หลบรถพ้นครับ
- ถ้าชวนกันคุยเรื่องที่ไม่ได้สนใจ จะพยักหน้าตอบ ถ้าเป็นเพื่อนสนิทจะตอบรับ "อืม..." ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังฟังอยู่
- ถ้าชวนกันคุยเรื่องที่สนใจ จะสื่อสารตอบโดยการเขียนหรือพูดตามความสนิท
9. สิ่งที่ชอบ
- กีตาร์ โดยเฉพาะกีตาร์โปร่ง
- ดนตรี ฟังได้ทุกแนว (ยกเว้นพวกแนวๆเฮฟวีเมทัล) เวลาฟังจะยิ้มหน่อย ๆ
- นักร้องที่ชอบเป็นพิเศษ แสตมป์ อภิวัชร์, Split, Arisara, สิงโต นำโชค, Muzu
- นม โดยเฉพาะรสจืดกับรสกล้วย แต่ช่วงหลัง ๆ จะเริ่มกินรสกล้วยน้อยลงเพราะพี่บอกว่าน้ำตาลเยอะ
- กล้วย ปกติจะกินหลังอาหารทุกมื้อ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่กิน
- สีน้ำตาลอ่อน สีเขียว สีขาว
- สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ เพราะที่บ้านเลี้ยงไว้
- ทวิตเตอร์ เอาไว้คุยกับเพื่อนสนิท
10. สิ่งที่เกลียด,กลัว
เกลียด
- การนอนน้อย เพราะทำให้งัวเงียไม่ค่อยมีสติ เล่นกีตาร์ไม่ค่อยได้ แล้วจะทำให้อารมณ์เสียง่าย
- การถูกล้อว่าไอ้ใบ้ เพราะกันพูดน้อยและใช้การเขียนเหมือนคนเป็นใบ้ แต่ตอนนี้จะไม่สนใจ ทำเหมือนว่าคนๆนั้นไม่มีตัวตนแทน (พี่สอนไว้ว่าอย่าใช้กำลัง แล้วถ้าไปต่อยอาจทำให้มือบาดเจ็บแล้วเล่นกีตาร์ไม่ได้)
(ถ้าไม่มีเจตนาร้ายก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่พอใจนิดหน่อย)
- มะเขือเทศ แตงกวา ถ้ามีอยู่ในจานถึงจะผสมกันจนแยกยาก เช่น มะเขือเทศในข้าวผัด ก็จะพยายามเขี่ยออกมาไว้ข้าง ๆ ให้หมด
- ยุง แมลงสาบ มด ถ้าเจอจะไล่ให้ออกไปแต่จะไม่ฆ่า แต่ถ้ามันมายุ่งหรือมากัดเราก็จะฆ่าทิ้ง
กลัว
- สมุดกับปากกาหาย เพราะจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง ถ้าหายก็จะเดินตามหาแถวๆที่เดินผ่าน ถ้าไม่เจอจริง ๆ ก็จะทำใจแล้วซื้อใหม่
- ที่สูงๆ ถ้าต้องขึ้นไปอยู่ที่สูงๆจะมีอาการเหงื่อตก ตัวสั่น การเดินช้าลง แต่หน้าตายเหมือนเดิม
- มอเตอร์ไซค์ เพราะเคยนั่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ จะมีอาการต่อต้านถ้ามีคนบอกให้นั่ง แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ เช่น ไม่มีพาหนะอื่น ก็จะยอมนั่งแล้วกอดคนขับแน่น ๆ
11. งานอดิเรก
เล่นกีตาร์, ฟังเพลง (ปกติตอนฟังเพลงจะใส่หูฟัง เพราะกลัวคนอื่นรำคาญ), แกะโน้ตกีตาร์, เดินเล่น
12. สายการเรียน
ศิลป์-คำนวณ
13. วิชาที่ชอบ / ไม่ชอบ
ชอบ
- คณิตศาสตร์ เพราะเรียนแล้วเข้าใจ อาจารย์สอนดี
- ดนตรี เพราะฝึกและชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ไม่ชอบ
- วิทยาศาสตร์ เพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเคมี และไม่ชอบอาจารย์ที่สอนเพราะสอนเร็ว
14. วิชาที่ถนัด / ไม่ถนัด
ถนัด
- คณิตศาสตร์ เพราะเรียนแล้วเข้าใจ อาจารย์สอนดี
- ดนตรี เพราะฝึกและชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ไม่ถนัด
- วิทยาศาสตร์ เพราะเรียนแล้วไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเคมี
- สังคมศึกษา เพราะเนื้อหาเยอะ จำได้ไม่หมด
- ภาษาอังกฤษ ตอนที่ถูกครูเรียกให้พูดในชั้นเรียน แต่ส่วนใหญ่ครูจะชอบเรียกพวกที่คุยกันในห้องเรียนมากกว่า (ตอนที่กันเรียนไม่มีสอบSpeaking)
- ภาษาไทย ตอนที่มีสอบท่องกาพย์กลอน กันจำเนื้อหาได้ แต่ท่องไม่ค่อยออก แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ท่องจนจบก็ได้คะแนนแล้ว (แต่จะน้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อย เพราะท่องติดขัด)
- การนำเสนอหน้าชั้นเรียน แต่ตามปกติกันจะได้รับหน้าที่จัดเรียงข้อมูลและเปิดสไลด์นำเสนอ เพราะเพื่อนรู้ว่ากันคงพูดไม่ไหว
15. คะแนนวิชาต่างๆในตอน ม.3
คณิตศาสตร์ 3.5
วิทยาศาสตร์
- ฟิสิกส์ 2.5
- เคมี 1.5
- ชีวะ 2.5
ภาษาอังกฤษ 3.5
ภาษาไทย 4
สังคมศึกษา 3
สุขศึกษาและพลศึกษา 4
การงานอาชีพฯ 4
ศิลปะ 4 (ม.1 เรียนดนตรี ม.2 เรียนนาฏศิลป์ ม.3 เรียนทัศนศิลป์)
(สุขศึกษาฯ การงานอาชีพฯ และศิลปะ ถ้าส่งงานครบก็ได้เกรด4 แล้ว)
- ตอนม.2 เทอม 2 หลังจากเกิดอุบัติเหตุและรักษาตัวแล้ว กันก็หยุดพักรักษาตัวที่บ้าน 2 เดือน แล้วช่วงนั้นบังเอิญมีสอบเก็บคะแนนกับสอบปลายภาค ทำให้กันไม่มีคะแนนในส่วนนี้ (วิชาอื่นนอกจากคณิต คิดเกรดโดยไม่เอาคะแนนช่วงที่กันไม่ได้สอบมาคิด)
- กันเข้าใจว่าอาจารย์ทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้น จึงไม่มีอคติกับวิชานี้
16. ความสามารถพิเศษในการเรียน
- เล่นกีตาร์กับเบส แต่ปกติจะเล่นแต่กีตาร์เพราะพี่เล่นเบส เลยไม่อยากเล่นซ้ำกัน
- ฝึกเทควันโดไว้ป้องกันตัว
17.ลักษณะคนที่จะเป็นเพื่อนได้
- ชอบการเล่นดนตรี โดยเฉพาะคนที่เล่นกีตาร์เหมือนกัน
- คนที่ไม่สนใจว่ากันใช้สื่อสารไม่เหมือนคนอื่น
- คนที่จริงใจ และรู้สึกว่าไว้ใจได้
- ถ้าเป็นแบบ 3 ข้อแรก(โดยเฉพาะข้อ 3) มีโอกาสที่กันจะสนิทด้วย
- นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพื่อนได้หมดถ้าไม่ใช่คนที่ไม่ถูกชะตา
18. ลักษณะคนที่ไม่ถูกชะตา
- คนที่ดูถูกหรือรังเกียจคนที่พิการ เพราะกันมองว่าคนพิการก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป เพียงแค่มีปัญหาทางด้านร่างกายเฉย ๆ จึงไม่ควรไปดูถูกหรือรังเกียจ
- คนที่เอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังคนอื่น
- คนที่นิสัยเหมือนนักเลง
จะคุยด้วยแค่ครั้งแรกที่เจอ หลังจากนั้นจะพยายามเลี่ยง
19. เสป็กในดวงใจ
- คนที่ไว้ใจได้ ไม่เรื่องมาก ไม่รำคาญการสื่อสารในแบบของกัน
20. สัญชาติ, เชื้อชาติ, ภาษาที่พูดได้ และศาสนา
สัญชาติ ไทย
เชื่อชาติ ไทย
ภาษาที่พูดได้ พูดและเขียนภาษาไทยกับอังกฤษได้ แต่จะไม่แม่นไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษมาก แต่พอจะสื่อสารรู้เรื่องได้
ศาสนา พุทธ
21. ครอบครัว
- พ่อทำงานเกี่ยวกับ sound engineer แม่ทำงานเป็นครูสอนดนตรีที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง เป็นคนปทุมธานีทั้งคู่ หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพ
- มีพี่ชาย 1 คน น้องชาย 1 คน ชื่อไตรเนตร(เน็ต) กับ กรรณรงค์(กานต์)
- เน็ต อายุ 19 ปี สายตาสั้น 600 ทั้ง 2 ข้าง เพราะตอนมัธยมเรียนสายวิทย์-คณิต จึงใช้สายตาอย่างหนักไปกับการอ่านหนังสือสอบและการใช้คอมพิวเตอร์ หลังจากนั้นจึงคิดเปลี่ยนสายไปเรียนสายศิลป์ เพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเองและมันยากเกินไป ปัจจุบันเรียนปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ เรียนเกี่ยวกับดนตรีตะวันตก ปัจจุบันอยู่ปี 2 เป็นโฮโมเซ็กชวล เป็นคนที่เพ้อฝันและมีจินตนาการสูงพอสมควร
- กานต์ อายุ 13 ปี หูไม่ค่อยดี เพราะใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงเสียงดังบ่อย ๆ ปัจจุบันเรียนอยู่ม.2 พอขึ้นม.ปลายตั้งใจจะเข้าสายศิลป์-คำนวณ เป็นคนช่างสังเกตและมีความจำดีมาก
22. อื่นๆ
- กันใช้ภาษามือไม่เป็น
- แผลเป็นของกันเกิดจากอุบัติเหตุ เหตุเกิดตอนกันอยู่ม.2 เทอม 2 (อายุ 13 ปี) ขณะที่กันกลับจากโรงเรียนโดยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ได้ชนเข้ากับรถยนต์บริเวณสามแยก ทำให้แขนซ้ายและขาซ้ายหัก
- รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 5 วัน คุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมทุกวัน บางวันพี่น้องกับเพื่อนที่อยู่ข้างบ้านก็มาเยี่ยมด้วย
- รักษาตัวอยู่ที่บ้าน 2 เดือน คุณแม่หยุดงานมาอยู่ดูแล
- ผ่านไปประมาณ 6 เดือน กระดูกที่หักติดกันสนิท ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
- ตอนเด็กๆกันเป็นแค่เด็กที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่พอตอนม.ต้น ไม่ค่อยมีคนฟังกันพูด(ส่วนหนึ่งเพราะกันเสียงเบา) บวกกับตอนม.2 เจอเพื่อนบางคนที่ออกแนวนักเลงไม่เห็นด้วยกับความคิดกัน ด่าว่าความคิดไร้สาระเข้าหลาย ๆ ครั้ง จึงเริ่มกลัวที่จะพูด (เหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ก่อนเกิดอุบัติเหตุครับ)
- กันเลยใช้การเขียนแทน เพราะรู้สึกมีความกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น
- เพื่อนในห้องก็สงสัยว่าทำไมถึงใช้การเขียน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
- แน่นอนว่าอาจารย์รู้เรื่องนี้จึงเรียกพ่อแม่กันมาคุยด้วย พ่อแม่ก็พากันไปบำบัดเรื่องการพูดอาทิตย์ละครั้ง แต่หลัก ๆ แล้วพ่อแม่ก็อยากให้กันค่อย ๆ ฝึกพูดกับเพื่อน ๆ มากกว่า
- ตอนม.3 เริ่มมีเพื่อนสนิทในห้อง 3 คน อาจารย์ให้ทำงานกลุ่มแล้วแบ่งกลุ่มโดยการจับฉลาก แล้วก็มีคนเปิดบทสนทนาเรื่องการเล่นดนตรี คุยไปคุยมาก็เลยสนิทกัน ตอนกันคุยก็ใช้การเขียนเหมือนปกติ แต่หลัง ๆ เริ่มจะพูดกับเพื่อนกลุ่มนี้เพราะเพื่อนขอให้พูด เพื่อนกลุ่มนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้กันเริ่มมีความกล้าที่จะพูดเช่นกัน
- ตอนนี้กันพยายามที่จะพูดกับคนอื่นโดยไม่ต้องเขียน แต่หลัก ๆ แล้วต้องได้รับแรงกระตุ้นจากคนรอบข้างด้วย
- กันเป็นคนที่ไม่ได้แต่งตัวอะไรมาก เสื้อยืดกางเกงสามส่วนก็โอเคแล้ว
- ชุดไปเที่ยวกับชุดอยู่บ้านไม่ต่างกัน ง่าย ๆ เหมือนกัน เพราะปกติกันไม่ใช่คนชอบเที่ยว จึงไม่ได้ซื้อชุดอื่นที่ต่างจากชุดอยู่บ้าน
- Worst case ของกันคือ "การที่ไม่สามารถใช้การเขียนเพื่อสื่อสารได้" โดยอาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น ไม่มีสมุดหรือปากกา, ถูกต่อว่าว่าทำไมถึงไม่พูดอย่างรุนแรง
- ถ้าเกิดกรณีแรก กันจะพยายามพูดออกมา แต่จะมีอาการสั่นเล็กน้อย พูดเสียงเบา หากเป็นประโยคยาว ๆ จะพูดติดขัด และพูดเท่าที่จำเป็น
- ถ้าเกิดกรณีสอง กันจะลนลานแล้วรีบขอโทษ เพราะรู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไรซักอย่างและทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ จะเริ่มพูดติดอ่างมากกว่าเดิม รีบจบบทสนทนาแล้วเดินออกจากบริเวณนั้น
- โซเชียลมีเดียที่ใช้อยู่มี ทวิตเตอร์กับเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์เอาไว้คุยกับเพื่อนสนิท เฟสบุ๊คเอาไว้คุยกับเพื่อนและเอาไว้คุยงานกลุ่ม
23. กรณีที่เป็นไบเซกชวล (ชอบทั้งสองเพศ) หรือโฮโมเซ็กชวล (ชอบเพศเดียวกัน)
- ปัจจุบันรู้ตัวหรือไม่ (รู้ตัว / ไม่แน่ใจ / ไม่รู้ (กรณีที่จะให้รู้ตัวในอนาคต))
ไม่แน่ใจ แต่ก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง
- ถ้ารู้ตัวแล้ว เป็นอย่างเปิดเผยหรือไม่เปิดเผย
ไม่เปิดเผย
- ความรู้สึกของตัวเองที่มีรสนิยมทางเพศต่างจากที่สังคมทั่วไปยอมรับ
ไม่สนใจ เพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
- การยอมรับทางครอบครัว และสังคมที่ผ่านมา (รวมถึงโรงเรียน)
ครอบครัวไม่ได้สนใจอะไร และเปิดกว้าง ยอมรับในสิ่งที่ลูกๆเป็น
เพื่อนที่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีอาการรังเกียจ บางคนก็เป็นเหมือนกัน มีแค่ส่วนน้อยที่รังเกียจ แต่กันก็ไม่ได้สนใจ
- กรณีที่มีประสบการณ์ความรักแบบดังกล่าว (ทั้งอดีตและปัจจุบัน) ให้บอกสรุปโดยย่อ (ว่าจบไปแล้วหรีอยังดำเนินอยู่) และมีผลต่อมุมมองชีวิตแค่ไหน
ตอนประถมเคยแอบชอบเพื่อนผู้หญิงคนนึง แต่ตอนนั้นยังเป็นเด็กเลยไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่
ตอนม.3 เคยแอบชอบเพื่อนสนิทคนนึงที่เป็นผู้ชาย เพราะดูแลเอาใจใส่กันเป็นอย่างดี เวลามีปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษาเพื่อนคนนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้บอกเพื่อนคนนั้นไป เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบหรือแค่ปลื้มเพื่อนคนนั้นกันแน่